นิ้วทั้งห้า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระเจ้าได้ทรงเรียกนิ้วทุกนิ้วมาเข้าประชุม เพื่อจัดตำแหน่งของนิ้วต่างๆ
นิ้วแรกมีนิสัยเกเร และชอบกลั่นแกล้งนิ้วอื่นที่อ่อนแอกว่า จึงไม่มีใครชอบและอยากคบด้วย
พระเจ้าจึงทรงตั้งชื่อนิ้วนี้ว่า “นิ้วโป้ง” พระองค์ทรงจัดให้นิ้วโป้งอยู่ไกลจากนิ้วอื่นๆ มากที่สุด
และทรงเสกให้นิ้วโป้งเป็นนิ้วที่สั้นที่สุด เพื่อไม่ให้รังแกผู้อื่นได้อีกต่อไป

นิ้วต่อไปมีนิสัยถือตนว่าตัวเองมีอำนาจ ชอบใช้อำนาจสั่งโน่นสั่งนี่
พระเจ้าจึงทรงตั้งชื่อนิ้วนี้ว่า “นิ้วชี้” และทรงวางนิ้วชี้ไว้อยู่ข้างๆ นิ้วโป้ง
เพื่อนิ้วโป้งจะได้เกรงกลัว จนไม่กล้าเกเรหรือกลั่นแกล้งใครอีก

นิ้วต่อไปมีนิสัยรักความยุติธรรม มีความกล้าหาญและรักความถูกต้อง
พระเจ้าจึงทรงเสกให้นิ้วนี้เป็นนิ้วที่ยาวที่สุด เพื่อที่จะคอยดูแลนิ้วอื่นๆ ได้
และได้วางไว้ข้างๆ นิ้วชี้ เพื่อคอยเตือนสตินิ้วชี้ให้รู้จักใช้อำนาจที่มีอย่างยุติธรรม
และด้วยนิสัยรักความยุติธรรมนี่เอง พระเจ้าจึงทรงตั้งชื่อนิ้วนี้ว่า “นิ้วกลาง”

นิ้วต่อไปเป็นนิ้วแห่งความรักและคำสัญญา มีนิสัยอ่อนโยน ซื่อสัตย์และมั่นคงในความรัก
ด้วยนิสัยคล้ายผู้หญิงนี่เอง พระเจ้าจึงทรงตั้งชื่อนิ้วนี้ว่า “นิ้วนาง”
และจัดวางนิ้วนางให้อยู่ข้างๆ นิ้วกลาง เพื่อนิ้วกลางจะได้คอยดูแลนิ้วนางที่อ่อนโยนได้

นิ้วสุดท้าย “นิ้วก้อย” นิ้วก้อยเป็นนิ้วแห่งมิตรภาพ เพราะนิ้วนี้เป็นนิ้วที่เล็กที่สุด
ฉะนั้นจึงมักโดนนิ้วโป้งจอมเกเรแกล้งอยู่เป็นประจำ
พระเจ้าจึงทรงจับนิ้วก้อยไปวางไว้ข้างๆ นิ้วนาง ซึ่งไกลจากนิ้วโป้งมากที่สุด

บางทีพระเจ้าก็บอกอะไรเราจากนิ้วของเราเอง พระองค์เสกนิ้วโป้งให้สั้นๆ ดูน่าเกลียด
เพื่อจะเตือนเราว่า ถ้าเราเป็นคนเกเร นิสัยไม่ดี ถึงแม้ว่าเราจะดูดีอย่างไร
เราก็จะเป็นคนน่าเกลียดในสายตาคนอื่น ไม่มีใครอยากจะสมาคมด้วย

พระองค์จับนิ้วชี้ไว้ข้างๆ นิ้วโป้งเหมือนจะเตือนเราว่า
บางทีคนที่เกเรมากๆ ก็อาจต้องให้คนที่มีอำนาจเหนือเขา หรือคนที่เขาเคารพเชื่อฟังดูแลเขา
จึงจะทำให้เขาหยุดนิสัยเสียนั้นได้

พระองค์ทรงจัดนิ้วชี้ไว้ข้างนิ้วกลาง เพื่อเตือนเราอีกว่า ถ้าเรามีอำนาจอยู่ในมือ
เราก็ต้องใช้มันอย่างถูกต้องและยุติธรรม

พระองค์ทรงสร้างนิ้วก้อยและนิ้วนางไว้อยู่ข้างกัน เพื่อบอกเราว่า..
มิตรภาพที่ดีนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก และไม่มีความรักแท้จริงใดๆ ในโลก
ที่ปราศจากมิตรภาพและการให้อภัยเช่นกัน

Leave a comment »

ที่มาของเดือนต่างๆ

1. January(มกราคม) เป็นชื่อตั้งตามนามของ*เอนัส* ผู้รักษาประตูแห่งสวรรค์

2. Febuary(กุมภาพันธ์) เป็นชื่อตั้งตามนามของเทพธิดา เฟบรูเลีย อันเป็นผู้รักษาเวลาเพื่อพลีกรรมล้างบาป

3.March (มีนาคม) ตั้งตามนาม ของเทพเจ้ามาร์ช (มาร์) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม

4.April(เมษายน) เป็นชื่อตั้งจาก ภาษาลาตินว่า aperire แปลว่า เปิด หรือ ผลิดอกออกผล

5.May (พฤษภาคม) ชื่อตามนามของเทพธิดาแม่ ซึ่งเป็นเทพธิดาผู้ช่วยให้พืชพรรณไม้ในโลกเจริญเติบโต

6.June (มิถุนายน) เป็นคำจากภาษาลาติน ว่า *Juveins* แปลว่า *หนุ่ม* หรือ *วัยรุ่น*

7. July กรกฏาคม เป็นชื่อตั้งเพื่อเป็น อนุสรณ์แด่ จูเลียส ซีซาร์ จักรพรรดิแห่งโรมัน

8. August สิงหาคน เป็นชื่อตั้งเพื่อเป็น อนุสนณ์แก่ ออกุสตุส จักรพรรดิองค์แรก ของ โรมัน

9. September กันยายน เป็นคำจากภาษาลาตินว่า Septem แปลว่า เจ็ด

10. October เป็นชื่อตั้งจากภาษาลาตินว่า Octo แปลว่า แปด

11. Novemberพฤศจิกายัน เป็นคำมาจากภาษาลาติน ว่า Novem แปลว่า เปิด หรือ ผลิดอกออกผล

12.December เป็นชื่อตั้งจากภาษาลาตินว่า Devem แปลว่า สิบ

Leave a comment »

ทรงพระเจริญ

เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปีพ.ศ. 2493
และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ…
ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์
แห่งความสำเร็จของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดาจน 29ปีต่อมามีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่า
พระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้นเป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย…
หนังสือพิมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3 ชม.
น้ำหนักปริญญาบัตร ฉบับละ 3 ขีดรวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน…
ไม่เพียงเท่านั้นดร.สุเมธตันติเวชกุลยังเล่าเสริมให้เห็น “ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ”
ที่ไม่มีใครคาดถึงว่า”ไม่ได้พระราชทานเฉยๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลาโบหลุดอะไรหลุด
พระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย…
บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวันฝุ่นมันจับพระองค์ท่านก็ทรงปัดออก…
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง…
โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรีคงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป…
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า
พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ6-7 วินาทีนั้น แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปีๆ
เปรียบกันไม่ได้เลยที่สำคัญคือ…ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรีนั้น
สำคัญเพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอกดังนั้น…
“จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง..”

Leave a comment »

คิดนอกกรอบ

ต่อไปนี้เป็นโจทย์ในข้อสอบฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัย Copenhagen โจทย์มีอยู่ว่า
“จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร”

มีนศ.คนหนึ่งตอบว่า:
“เอาเชือกยาวๆ ผูกกะบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากบนหลังคาแล้วก็เอาความยาวเชือก
บวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก”

คำตอบนี้ทำให้อาจารย์ตัดสินว่านศ.คนนั้นสอบตก แต่ นศ.ผู้นั้นกลับยืนกรานว่า
คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

ทางมหาวิทยาลัย จึงตั้งกรรมการมาตัดสินเรื่องนี้ กรรมการตัดสินว่า
คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน แต่ไม่แสดงถึงความสามารถทางฟิสิกส์ให้เห็น

เพื่อแก้ปัญหาทางกรรมการจึงให้เรียก นศ.คนนั้นมา
แล้วให้เวลา 6 นาทีเพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์
กรรมการเตือนว่า เวลาจะหมดแล้ว นศ.ตอบว่า
เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี
เมื่อได้รับคำเตือนให้รีบ นศ. จึงตอบมาดังนี้ :

ประการแรก ให้ เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึก ทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น
ความสูงของตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*tกำลัง2 แต่น่าสงสารบารอมิเตอร์

หรือถ้าแดดดี ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์
วางให้ตั้งฉากพื้นแล้ววัดความยาวของเงาบารอมอเตอร์ วัดความยาวของเงาตึก
แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

ถ้าเกิดอยากโชว์ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้
ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆมาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม
ตอนแรกก็แกว่งระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก
ความแตกต่างของคาบการแกว่งเนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล
คำนวนจากT=2 พายกำลัง 2 รากที่ 2 ของl/g

ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ ก็เดินขึ้นไป
เอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆจนถึงยอดตึก
นับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก

ถ้าคุณต้องการเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก
คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้น และที่ยอดตึก
คำนวนความแตกต่างของความดันก็จะได้ความสูงตึก

แต่ถ้าเราเหน็ดเหนื่อยกับการคิดและการใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์แก้ปัญหา
ทางที่ดีที่สุด ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า ถ้าต้องการบารอมิเตอร์สวยๆ
ใหม่เอี่ยมแล้วละก็ ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมที

นศ.คนนั้นคือ นีล โบร์ ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์

Leave a comment »

ความรัก…กับเวลา

กาลครั้งหนึ่ง… มีเกาะแห่งหนึ่งรวบรวมความรู้สึกต่างๆของมนุษย์เราไว้ด้วยกัน
วันหนึ่ง ได้มีประกาศว่า อีกไม่นานเกาะแห่งนี้ จะล่มสลาย น้ำจะท่วมเกาะ ขอให้ทุกความรู้สึกจงเตรียมตัว…

เมื่อทุกความรู้สึกได้ทราบข่าวแล้ว ต่างก็หาวิธีการเพื่อที่จะเอาตัวรอด มีเพียงความรักเท่านั้นที่ไม่ได้เตรียมหาวิธีการเพื่อให้ตัวเองรอด
จนเมื่อน้ำท่วมมากขึ้นๆ ความรักจึงร้องขอความช่วยเหลือ พอดีกับที่ความเห็นแก่ตัวพายเรือผ่านมา ความรักก็บอกว่า “ความเห็นแก่ตัว ขอเราไปด้วยคนได้ไหม?”
ความเห็นแก่ตัวก็ตอบว่า “ไม่ได้หรอก ความรัก ตัวเจ้าเปียก ถ้าเจ้าขึ้นมาเรือข้าก็เปียกและเลอะเทอะน่ะสิ”
เมื่อพูดจบ ความเห็นแก่ตัวก็พายเรือจากไป…

ความรักก็ยังคงร้องขอความช่วยเหลือต่อไป แล้วความโลภก็ผ่านมา
ความรักก็ตะโกนขอความช่วยเหลือโดยบอกว่า “ความโลภ ช่วยเราด้วยเถอะ ขอเราอาศัยไปด้วยนะ”
ความโลภรีบตอบว่า “ไม่ได้หรอก ถ้าเจ้าขึ้นมา ข้าก็เอาของไปไม่หมดน่ะสิ”
พูดจบความโลภก็จากไป

ความรักยังคงไม่ยอมแพ้ ยังคงรอคอยที่จะมีสักความรู้สึกรับตนไปด้วย แล้วความเกลียดก็ผ่านมา ความรักจึงร้องขอความช่วยเหลืออีกครั้ง “ความเกลียด ช่วยเราด้วย” ความรักร้องขอด้วยความอ่อนล้า
ความเกลียดมองหน้าความรักด้วยสีหน้าชิงชังโดยที่ไม่พูดอะไร แล้วก็จากไป

ความรักเริ่มหมดหวัง
ทันใดนั้นก็มีเสียงแก่ๆ เสียงหนึ่งตะโกนดังขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไรความรัก เราจะช่วยเจ้าเอง” ความรักได้ยินดังนั้นก็ดีใจ รีบขึ้นเรือ และด้วยความอ่อนเพลียจากการเอาชีวิตรอด ความรักได้หลับไปตลอดการเดินทาง

จนถึงที่หมายที่ๆ แห่งใหม่ คุณยายได้ปลุกให้ความรักตื่น
แล้วบอกว่า “ถึงที่ๆ ปลอดภัยแล้วล่ะ ความรัก”
เมื่อความรักได้ยินก็ตื่นแล้วลงจากเรือ แล้วคุณยายก็พายเรือจากไป
เมื่อนึกขึ้นได้ ความรักก็คิดขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ขอบคุณคุณยายเลย
จึงตะโกนร้องเรียก เรียกเท่าไหร่ คุณยายก็ไม่หันกลับมา มีแต่จะเดินต่อไปข้างหน้า

ความรู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็บอกว่า “อย่าตะโกนเรียกไปเลย เขาไม่มีวันเดินย้อนกลับมาหรอก” ความรักหันมามองหน้าความรู้ แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “เขาเป็นใครเหรอ?”…

“เขาคือเวลา” ความรักก็ถามความรู้ต่อว่า “แล้วทำไมเวลาเขาถึงช่วยเราล่ะความรู้”
…ความรักยังคงถามต่อไปด้วยความสงสัย

“ก็เพราะมีแต่เวลาเท่านั้น ที่รู้จักและเห็นคุณค่าของความรัก”…..

Leave a comment »

จดหมายลับ

ผู้ชายคนหนึ่ง หลงรักสาวนางนึงที่พ่อสาวเจ้า หวงสุดชีวิต กีดกันเขากับเธอ
จนเขาต้องส่งจดหมายฉบับนึง ไปเพื่อบอกความในใจ………

ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ผมมีต่อคุณ
ได้หมดสิ้นไปแล้ว และผมค้นพบว่าผมรังเกียจคุณ
เพิ่มมากขึ้นทุกวัน เมื่อผมเจอคุณ
ผมไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าคุณ
สิ่งเดียวที่ผมต้องการทำก็คือ
เฝ้ามองผู้หญิงคนอื่น ผมไม่เคยต้องการที่จะ
แต่งงานกับคุณ บทสนทนาครั้งสุดท้ายของเรา
น่าเบื่อและไม่ได้
ทำให้ผมรอคอยที่จะพบหน้าคุณอีกครั้ง
คุณคิดถึงแต่ตัวเอง
ถ้าเราแต่งงานกัน ผมรู้ว่าผมจะพบ
ชีวิตที่ยุ่งยากมาก และผมจะไม่มี
กับความสุขในการใช้ชีวิตกับคุณ ผมมีหัวใจ
ที่จะให้ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่
ผมต้องการให้คุณรู้ว่า ไม่มีใครที่จะ
โง่และเห็นแก่ตัวเท่าคุณ และคุณไม่
สามารถห่วงใยผมและช่วยผมได้
ผมอยากจะให้คุณเข้าใจว่า
ผมพูดความจริง คุณจะทำให้ผมดีใจมาก
ถ้าคุณคิดว่านี่เป็นจุดจบ อย่าพยายาม
ถ้าจะตอบจดหมายนี้ และจดหมายของคุณจะเต็มไปด้วย
สิ่งที่ไม่ทำให้ผมสนใจ คุณไม่มี
ความรักจริงสำหรับผม ลาก่อน… และจงเชื่อมั่นในผมว่า
ผมไม่แคร์คุณ และได้โปรดอย่าคิดว่า
ผมยังคงรักคุณ………

สาวเจ้าได้อ่านจดหมายแล้วก็น้ำตาคลอ…….
เพราะได้ตกลงรหัสลับกับหนุ่มที่รักไว้แล้วว่า

>>>จะอ่านแต่บรรทัดเลขคี่เท่านั้น<<<

Leave a comment »

ข้อคิดเวลาท้อ

ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก

ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ

ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ

ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนที่ตายหมดลม

ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส

ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน

ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน

ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา

ถ้าตังค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน

ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา

ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา

ถ้าชีวิตแย่ . . . มองคนที่แย่ยิ่งกว่า

อย่ามองแต่ฟ้า . . .ที่สูงเกินตาประจักษ์

ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก

เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิชีวิตแห่งตน

Leave a comment »

ที่มาของวันวาเลนไทน์

กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด

คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือ ภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบันคิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็นเครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ

เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส

ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

Leave a comment »

เรื่องราวของสองคน

อย่าคิดอะไร..ถ้าไม่ได้พูดออกไป

ในมุมหนึ่ง…
หลายครั้งที่ฉันแอบมองหน้าเค้าเวลาที่เค้าเผลอ..เค้าน่ารักมาก แต่ทำไมนะเค้าถึงไม่เคย แม้แต่จะชำเลืองมองฉันเลย
หลายครั้งที่เค้าคุยกับผู้หญิงคนอื่น แต่ฉันกลับรู้สึกหึงไปมากมาย..ทั้งที่เราเป็นแค่เพื่อนกัน..แต่เค้ากลับไม่เคยที่แคร์ความรู้สึกฉันเลย
หลายครั้งที่ฉันสารภาพอย่างอ้อมๆกับเค้าว่าฉันแอบหลงรักผู้ชายคนนึงอยู่ เค้าก็รับฟังแล้ว หัวเราะแล้วบอกว่า..ดีแล้วล่ะที่เธอมีความรัก..แต่ใครน๊อจะเป็นผู้ชายที่ โชคร้ายคนนั้น
หลายครั้งที่ฉันแกล้งทำสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น.เพื่อหวังให้เค้ามีความรู้สึกว่าหึงบ้าง แต่เค้าก็ไม่เคยจะยินดียินร้ายสักนิด…มิหนำซ้ำยังเข้าไปคุยกับผู้ชายคนนั้น อย่างดีหน้าตาเฉย
หลายครั้ง..ที่ฉันถามเค้าว่า ถ้าเกิดเธอว่าเธอรู้สึกว่ารักใคร แล้วเค้าไม่เคยรักตอบหรือแม้แต่จะมองมาเลย เธอจะรู้สึกอย่างไร..เค้ากลับตอบว่า เรื่องของผม
หลายครั้งที่ฉันไม่สบาย ฉันแค่อยากได้ยินคำว่า..ทานยาหรือยัง เป็นห่วงนะ..แต่เค้ากลับแค่มองแล้วก็เดินผ่านไป
หลายครั้งที่ฉันอยากให้เค้าเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์ แต่เค้าบอกว่า..ไม่ดีหรอก.เดี๋ยวแฟนเห็น
หลายครั้งที่ฉันโทรไปหาเค้า พยายามคุยแบบเพื่อนเพื่อให้เค้าไม่อึดอัดแต่เค้ากลับพูดมาว่า..ทำไมถึงต้องโทรมาด้วย..อย่าทำ ให้ผมต้องพูดอะไรที่จะทำให้คุณ รู้สึกไม่ดีออกไปนะ..
หลายครั้งที่ฉันอยากจะบอกความในใจออกไปให้เค้าได้รับรู้สักที..แต่ทุกๆคำที่ฉันได้รับจากเค้า.. มันเพียงพอแล้ว..ฉันไม่ต้องการที่จะบอกอะไรเลยกับเขา.. ฉันไม่เกลียดเค้าหรอก เพราะคนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกรักหรือเกลียดได้..ห้ามหัวใจกันไม่ได้หรอก…..แต่ต่อไปนี้ฉันคงไม่ กล้าที่จะมองเธอแล้วล่ะ ไม่คุย ไม่โทรไปหรือทำให้เธอ อึดอัดใจใดๆทั้งสิ้น.ลาก่อนนะคนดี…และลาก่อนความรักของฉัน……

………….อีกมุมหนึ่ง……
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าคุณแอบมองผมอยู่ คุณรู้มั้ยว่ามันทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคุณ..คุณน่ารักมาก ผมไม่เคยใจสั่นแบบนี้มาก่อนเลย..สายตาคุณทำไมถึง ได้ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้นะ….
หลายครั้งที่ผมต้องพยายามคุยกับผู้หญิงคนอื่นๆเพื่อให้ไม่ให้คิดกับคุณมากไปมากกว่านี้ แต่ผมห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้เลย..ทำไมนะ…
หลายครั้งที่คุณบอกผมว่าคุณแอบหลงรักผู้ชายคนนึงอยู่.คุณรู้ใหม หัวใจผมมันเจ็บปวดแค่ใหน..ทำไมถึงไม่เป็นผมนะ
หลายครั้งที่ผมเห็นคุณสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น..ผมทรมานมากเลยรู้มั้ย…ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า.. คุณมีแฟนแล้วสินะ..สำหรับผม..เพื่อนเท่านั้นที่คุณรู้สึกสินะ.. แต่ผมก็ยอมได้..เพื่อคุณ….
ทุกครั้งที่คุณถามผมว่าถ้าผมไปหลงรักใครโดยที่เค้าไม่เคยมองเลย ผมจะทำยังงัย..ผมตอบคุณไปแล้วนะ..เรื่องของผม..คุณรู้มั้ยว่านั่น เป็นคำพูดที่ผมตอบกับ ตัวเอง..นั่นสินะ..เรื่องของผมที่จะรักผู้หญิงคนนี้โดยที่เค้าไม่เคยสนใจผมเลยแม้แต่น้อย…..
ทุกครั้งที่คุณไม่สบาย.คุณรู้มั้ยว่าถ้าผมเจ็บแทนคุณได้ ผมจะไม่รอช้าเลย..คนดี..คุณรู้มั้ยว่าผม มองเห็นเค้าคนนั้นเอายามาให้คุณ..ผมไม่อาจทนดูภาพนั้นได้เลย อยากเข้าไปชกหน้าเค้า แต่ก็ทำไม่ได้..ผมถึงได้แค่มองแล้วก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ คุณคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมยืนมองอยู่นานแค่ไหนด้วยห้วใจที่ปวดร้าว ถุงยาในมือผมมันร่วง ลงตอนไหนไม่รู้……
ทุกครั้งที่คุณบอกว่าจะให้ผมไปส่งคุณที่ป้ายรถเมล์..รู้มั้ยผมตื่นเต้นมากๆที่จะได้ไปส่งคุณ..แต่ผมคงไม่ไปส่งคุณแค่ป้ายรถเมล์หรอก.ผมอยากส่งคนที่ผมรักให้ถึง บ้านเลย..แต่พอนึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้น แฟนคุณคนนั้น..ผมไม่อยากให้คุณมีปัญหา..ผมไม่อยากให้แฟนคุณเข้าใจผิด..ผมถึงได้บอกกับคุณว่าไม่ดีหรอก เดี๋ยวแฟนเห็น…
หลายครั้งที่คุณโทรหาผม.หัวใจผมมันเต้นตามเสียงของโทรศัพทผมไม่อยากรับโทรศัพท์คุณเลย..ผมไม่อยากให้ใจผมมันรักคุณไปมากกว่านี้อีกแล้ว.มันทรมาน..และ ในที่สุดผมก็ไม่อาจทนรอให้มันดังอย่างนั้นได้อีกแล้ว..ผมรับและตัดสินใจบอกคุณไปว่า อย่าทำให้ผมต้องพูดอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีเลย..(คุณรู้อะไรมั้ยเพราะผมกลัว ว่าผมจะสารภาพ ความในใจกับคุณที่มันเก็บไว้มานานออกไป..ผมกลัวใจตัวเองเหลือเกิน..ถ้าผมเผลอพูดออกไป..คุณคงรู้สึกไม่ดี คงเกลียดผมและเดินจากผมไป.. ผมไม่อยากให้คุณจากผมไปไหนทั้งนั้น..ผมรักคุณนะ..
แต่หลังจากวันนั้น..ทำไมคุณถึงเมินเฉยกับผมนัก..คุณรู้ตัวมั้ยสายตาที่คุณมองผมอย่างเย็นชานั้นน่ะ..มันทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไร..เป็นเหมือนเดิมได้มั้ยคนดี..กลับมาเหมือนเดิมกับผมได้มั้ย..แม้จะได้แค่เป็นเพื่อนกับคุณเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น แค่นี้ ผมก็สุขใจแล้ว เพราะอะไร..บอกผมสักคำ
บางทีสิ่งที่คุณเห็น..หรือสิ่งที่คุณคิด จริงๆแล้วมันอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย….คุณรักใครทำดีกับเค้าให้มากๆ เพราะเค้าก็อาจจะ พยายามทำดีเพื่อคุณอยู่ก็ได้..โดยที่คุณก็ไม่เคยได้รู้เลย

Leave a comment »

ของขวัญจากเวลา

เราทุกคนมีธนาคารเหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า “เวลา”
มันเข้าบัญชีให้คุณทุก ๆ 86,400 วินาที
ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชี ถือว่าขาดทุนตามจำนวนที่คุณพลาดโอกาสที่จะลงทุนในสิ่งดี ๆ
มันไม่สะสมยอคงเหลือ ไม่ให้เบิกเกินบัญชี
ในแต่ละวัน จะเปิดบัญชีใหม่ให้คุณ
ทุกค่ำคืน จะลบยอดคงเหลือของทั้งวันหมดออก
ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้ระหว่างวัน ผลขาดทุนเป็นของคุณ
ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้
ไม่มีการถอนของ “วันพรุ่งนี้” มาใช้ได้
คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ด้วยยอดเงินฝากของวันนี้
ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้ เพื่อผลตอบแทนมาสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ
นาฬิกากำลังเดิน ……… ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

จะรู้คุณค่าของเวลา 1 ปี ให้ไปถามนักเรียนที่สอบตกต้องซ้ำชั้น
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 เดือน ให้ไปถามคุณแม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนด
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 สัปดาห์ ให้ไปถามนักเขียนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 ชั่วโมง ให้ไปถามคนรักที่กำลังรอตามนัดหมาย
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 นาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งพลาดขบวนรถไฟ
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 วินาที ให้ไปถามคนที่รอดหวุดหวิดจากอุบัติเหตุ
จะรู้คุณค่าของเวลา เสี้ยววินาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งชนะได้รางวัลเหรียญทองโอลิมปิก

ทำทุกขณะที่คุณมี ให้มีค่า และทำให้คุณค่ามากขึ้นไปอีก
เพราะคุณใช้มันร่วกับคนพิเศษบางคนให้พิเศษเพียงพอที่จะใช้เวลาของคุณ
และจำไว้เสมอว่าเวลาไม่คอยใครแม้สักคนเดียว
เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้ยากที่จะอธิบาย
วันนี้เป็นของขวัญนั่นไง มันถึงจะถูกเรียกว่า “PRESENT”

Leave a comment »